Just another WordPress.com site

result from working hard

ทำงาน ทำงาน ทำงาน บางทีก็สนุกกับงานจนลืมไปว่าตัวเราก็ต้องการการดูแล รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีอาการป่วยแล้ว ทีนี้จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องทำงานไปพร้อมกับรักษาตัวเอง ทั้งๆทีก่อนหน้านี้ก็ควรจะดูแลตัวเองไปด้วย ไม่น่าเลย… ที่น่ากลัวคือ อาการอาเจียนเป็นเลือด หลายๆสำนักบอกมาว่าต้องไปส่องกล้องเพื่อหาจุดที่เลือดออก แล้วก็ต้องรักษากับหมอเท่านั้น ไม่มีการอยู่เฉยๆแล้วหาย!!! แต่ไม่อยากเลย งานก็เยอะ เป็นช่วงสามีกลับบ้าน และไม่อยากส่องกล้อง แค่คิดก็อยากอ้วกแล้วอ่ะ

อาการเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็หลังจากกินข้าวไม่เป็นเวลา มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดบ่อยครั้ง เพราะทำงานออกต่างจังหวัดตลอด 2 อาทิตย์ ไม่มีอาการปวดกระเพาะหรืออาการกระเพาะอาหารอักเสบหรือใดๆเลย งานล่าสุดไปดริ้งค์กันแล้วก็อาเจียนเอาเศษอาหารออกมาและจบด้วยเลือดสีแดงสดๆ เหมือนกับตอนที่กินแตงโมแล้วอ้วกเลย แต่วันนั้นเข้าใจว่าไม่มีอาหารสีแดงใดๆที่ตกลงกระเพาะเลย ตอนอ้วกก็คิดแต่ว่าสีแดงมันคืออะไร กลับมานั่งอ่านบทความต่างๆก็เลยรู้แล้วว่า…มันคือเลือดที่ออกในกระเพาะอาหารส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเอง หลังจากนั้นก็ยังคงไม่ได้กินข้าวตรงเวลาเพราะงานนั่นเอง ล่าสุดรู้สึกปวดตึงๆบริเวณเหนือสะดือ 1 ฝ่ามือขึ้นมา เวลาเข้าห้องน้ำ…ไม่รู้เกี่ยวกันรึเปล่า ที่เล่านี่เอาไว้เผื่อต่อไปอาการมันแย่ลงจะได้ไม่ลืมว่าเริ่มต้นมีอาการเป็นอย่างไร จะได้บอกคุณหมอได้ถูกต้อง ว่าแต่ว่าทำไมค่ารักษามันแพงจังอ่ะ ไม่มีประกันสุขภาพซะด้วยสิ เฮ้อ….

o_o น้ำหนักลด

วันก่อนได้ยินน้องที่อยู่ด้วยกันบอกว่าน้ำหนักขึ้น วันนี้ก็เลยชั่งดูมั่ง ตาชั่งเดิมๆของเรานี่แหละ จำได้ว่าตอนบริจาคน้ำหนักสัก 2 เดือนก่อน น้ำหนัก 50 ปริ่มๆ วันนี้กลายเป็น 47 ไปซะงั้น รู้เลยว่าเป็นเพราะการปั่นเล่มรายงานความก้าวหน้าและงานอื่นๆเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นเอง มากกว่านั้นก็คือ ที่มันลดน่ะ เหมือนว่าจะเป็นน้องโฟรโมสต์ซะด้วย ตะกี้ก็เลยออกไปหาของกินมาซะหน่อย แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มีความอยากกินเลยนี่สิ ทั้งๆที่ตอนนี้ก็หมดช่วงแห่งความกดดันไปแล้วนะ แค่รอสอบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าจะมีผลต่อน้ำหนักอีกสักเท่าไหร่ อยากผอมนะ แต่ส่วนที่ลดขอเป็นขากะน่องได้ป่ะ ไม่อยากแบนราบเป็นหน้ากลองนะ

ง่วง

เหตุเกิดจากตั้งแต่วันก่อนที่ต้องตื่นไปรับเพื่อนที่รักไปงานรับปริญญาหลังจากนอนหลับสนิทไปเพียง 2 ชั่วโมง แล้ววิ่งกลับมาทำงาน แบบวิ่งๆๆๆตลอดทั้งวันจนเย็นก็ไปเทคแคร์เพื่อนสาวต่อ กว่าจะกลับมาถึงห้องก็เกือบห้าทุ่มอาบน้ำนั่งทำงานต่อแทบไม่ไหว คุยกะสามีแปปเดียวก็ต้องนอน วันนี้ก็เลยต้องรีบตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อนั่งปั่นงาน เพื่อส่งต่อให้รุ่นน้องเดินเอกสารให้ต่อ ส่วนตัวเราก็ไปเป็นพริ้ตตี้งานที่เมืองทองตั้งแต่เช้าจนเย็น ไม่ได้ไปเพื่อเงินเลย แต่ไปด้วยใจ สำหรับสองวันนี้ ส่วนพรุ่งนี้ต้องวิ่งส่งเอกสารข้อเสนอโครงการ แล้วกลับมาคุยงานอีกโครงการนึงที่มอ ดังนั้นหมดสิทธิ์ที่จะได้ไปโชว์ตัวเป็นพริ้ตตี้เกิร์ลไปเลย ทั้งๆที่เป็นงานที่สนุกที่สุดละ แถมได้แต่ตัวสวยด้วย เสียใจมากมาย

สรุปงานอาทิตย์นี้ก็คงได้แค่ โครงการที่ 1,2,3 และโครงการอรทัยเพื่อประชาชน ส่วนงานทีสิสได้แต่เพียงนิดน้อย แทบไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย แถมไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบรามเลยด้วย… วีคเอนด์นี้คงไม่ใช่วันแห่งความสุขของเราแน่นอน ไม่คิดล่วงหน้าหรอก คิดแล้วมันจะหมดกำลังใจเปล่าๆ ตอนนี้ต้องการเพียงได้นอนเต็มอิ่มสักคืน เป็นคืนนี้จะได้ไหม…

Work Hard

วันนี้เพิ่งไปประชุมงานโครงการที่ 4 มา ทีแรกคุยกะอาจารย์ที่ปรึกษาว่าไปประชุมแทนเพื่อน ผช.นักวิจัยอีกคน แล้วจะไม่ยุ่งกะโครงการนี้แล้ว คุยไปๆมาๆ ดร.ที่เอ็ม ก็ดันพูดยกยอเราซะงั้น หลังจากนั้นเลยปัดงานโครงการนี้ไม่ได้เลย แต่ก็เป็นเรื่องที่เราอยากทำนะ เพราะเนื้อหาบางส่วนดันมาเกี่ยวข้องกับงานทีสิสเราด้วยไง ไหนๆก็ไหนๆ เหนื่อยทั้งทีก็จะได้เอาไปใช้หลายๆอย่างหน่อย ที่สำคัญเค้าเรียกเราว่า “ผช.นักวิจัยพร้อมใช้” คือมีข้อมูลเกือบทุกอย่างอยู่ในหัวแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเคยทำงานโครงการมาแล้ว หรืออะไรประมาณนั้น (ถ้ามองอีกมุมมันก็ไม่ถูกนะ เพราะถ้าไม่ให้โอกาสใครทำงานครั้งแรก แล้วจะเอาคนมีประสบการณ์มาจากไหนได้มากมาย) อ่อ…หยอดท้ายอีกหน่อยนึง ดร. แอบถามว่าเรามีโครงการหลังเรียนจบโทรึยัง แบบว่าอยากได้ไปทำงานด้วยที่เอ็มนั่นแหละ น่าประทับใจชะมัด

หลังจากเดินยิ้มออกห้องประชุมมาก็พบว่า…มีงานรออยู่ นั่นคือ โครงการที่ 1 และ 2 อันนึงต้องเตรียมเอกสารเพื่อยื่นเสนอโครงการ อีกอันนึงก็ต้องรีวิวงานเพิ่มเพื่อเตรียมประชุมกับหน่วยงานราชการกรมนึงที่คอยสร้างปัญหาให้เราเสมอๆ คำสั่งคือให้เตรียมข้อมูลไว้ เผื่อนัดได้วันไหนก็จะได้พร้อมไปปะหน้าเลย ฟังๆแล้วก็หมายถึงทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด งานนี้ยังไม่ทันได้เริ่มปฏิบัติการก็พบว่าอีเมล์นัดประชุมของโครงการที่ 3 ก็ถูกส่งต่อมาให้ พร้อมบอกวันเวลา สถานที่ ซึ่งเป็นการประชุมพรุ่งนี้เช้า…. Oh! my god… ใครจะทำได้ทันเนี่ย ขอบอกเลยทั้งวัน ยังไม่ได้แตะทีสิสตัวเองแม้แต่น้อย แถมเส้นตายการส่งรายงานความก้าวหน้าก็เขยิบเข้ามาใกล้ทุกที แล้วไหนจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเศรษฐศาสตร์ที่รามอีก …ประเด็นนี้พบว่า คุณ ดร. ถึงกับอึ้งว่าทำไม ยัยนี่ ทำไมทำอะไรเยอะแยะมากมาย ก็นั่นแหละแบบว่าทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ในแผนของเรานี่นา แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างเข้ามาอยู่รอบตัวเราและเราก็มีโอกาสได้ลองทำมัน จะไปกลัวอะไร ก็แค่ลงมือทำให้มันเสร็จไปทีละอย่าง แล้วมันก็จะว่างเอง …สาธุ

มุมมอง

วันนี้เพิ่งเข้าไปคุยงานวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 2 คน เกี่ยวกับตัวแปรในสมการที่เรากำลังสร้างอยู่ เนื่องจากข้อมูลในอดีตเราเปลี่ยนไม่ได้ การสร้างอนาคตจากอดีตที่มีขึ้นบ้างลงบ้างก็เลยค่อนข้างลำบาก บางตัวแปรก็ฝ่าฝืนทฤษฏี ไม่ยอมไปในทิศทางที่เราต้องการ อาจารย์ทั้ง 2 ก็เสนอมุมมองต่างๆ ทำให้เห็นว่าถ้ามองจากมุมของแต่ละคน ก็จะมองเห็นอะไรที่ต่างกันออกไป สมการที่มีปัญหาอยู่ บางทีมันก็นำเราไปสู่การสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากขึ้น คำแนะนำที่ได้วันนี้ทำให้ปัญหาที่เรายังค้างคาอยู่สำหรับงานต่อไปมีหนทางเห็นวี่แววชัดเจนขึ้น

นอกจากนั้น การมองต่างมุม ก็ทำให้เราพยายามมองหามุมดีๆของการต้องลงทะเบียนเรียนเทอมที่ 5 ของ ป.โท ได้อีกหลายๆข้อ ส่วนหนึ่งก็ได้จากรุ่นพี่ ป.เอก ที่มีประสบการณ์แนะนำมา ณ ตอนนี้ เรามองว่า

1. การสอบครั้งนี้ไม่ใช่ส่อบเพื่อจบ ทำให้เรามีโอกาสได้รับคำแนะนำเพื่อแก้ไขปรับปรุงงานวิจัยของเราให้ดียิ่งขึ้น

2. ประสบการณ์และมีโอกาสใช้ชีวิตในแวดวงนักวิจัยนานมากขึ้น เพราะเมื่อยังใช้ชีวิตอยู่ในละแวกมหาฯลัย เราก็จะรู้เร็วรู้ไวว่ามีงานวิจัยอะไรที่อยู่ในเทรนด์ มีทุนดีๆมาบ้างไหม

3. การเป็นนักศึกษา ใช่ว่าใครก็เป็นได้ ออกไปทำงานแล้วจะเสียดาย

4. สร้างงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีกว่าทำงานแค่ให้ได้ปริญญา เพราะเราต้องการใช้ชีวิตอยู่บนเส้นสายของนักวิชาการไปอีกสักพัก

5. เวลา 1 เทอมที่คิดว่าควรจะเอาไปทำงานหาเงิน แต่เอามาทำงานวิจัยเพิ่ม อาจเทียบมูลค่าทางการเงินไม่ได้เลย แต่ในแง่องค์ความรู้ที่ได้มันติดตัวเราไปได้อีกนาน นานกว่าเงินที่จะเอามาละลายเพื่อความสุขชั่วคราวซะอีก

6. มีโอกาสตื่นสาย สนุกกับชีวิตแบบไม่มีเจ้านายได้อีกสักพัก

7. ปล่อยให้เพื่อนๆที่จบก่อนไปปูฐานหางานทำรอ ถึงเวลาเราเรียนจบก็จะได้อาศัยชื่อเพื่อนๆเข้าทำงาน

8. มีอินเตอร์เน็ตใช้ฟรีตลอดเวลาที่อยู่ที่ที่ทำงาน (มหาฯลัย)

9. สามารถไปติดต่องานราชการได้โดยไม่ต้องลางาน

10. จะได้กินข้าวโรงอาหารที่น่าเบื่อมากๆต่อไปอีกหนึ่งเทอม

….

และอีกเยอะแยะมากมาย ดังนั้นไม่เห็นต้องเครียดเลยที่จะจบช้าไปเทอมนึงแต่ได้อะไรทั้งหลายที่ว่ามานี้ ใช่ไหมเอ่ย…

แต่ตอนนี้ต้องกลับไปอ่านเปเปอร์ เตรียมเขียนงานต่อแล้วค่ะ V..

เริ่มต้นด้วยแก้วนี้นะคะ คาปูชิโน่ ที่ร้านกาแฟแถวๆเขาแผงม้าไปเขาใหญ่ จำชื่อร้านไม่ได้แต่ประทับใจการตกแต่งร้านมาก เป็นธรรมชาติเหมาะกับการไปแวะนั่งจิบกาแฟระหว่างการเดินทางในเส้นทางธรรมชาติจริง ถึงแม้ว่าจะมีร้านกาแฟชื่อดังอยู่ในถนนเส้นนี้หลายๆร้าน แต่เท่าที่เวลาเอื้อให้นั่งจิบกาแฟสังเกตการณ์ก็เห็นได้ว่ามีคนแวะเข้ามาเรื่อยๆ ณ เวลานั้นก็เที่ยงกว่าๆ ขายได้ที่ประมาณ 5 แก้วต่อประมาณ 20 นาที ถือว่าใช้ได้ แถมที่ร้านนี้มีหัวคิดในการรวบรวมภาพถ่ายที่ดินที่ต้องการขายทำเป็นแคตตาลอคไว้พร้อมเบอร์โทรติดต่อเจ้าของไร่หรือนายหน้าที่ดินนั้นๆ ก็เป็นแนวทางในการเรียกลูกค้าได้อีกแบบนะ จะก้อปปี้ไปใช้บ้าง

 

ต่อไปมาพูดถึงรสชาด จะว่าไปเรากะสามีก็ไม่ได้เป็นนักชิมกาแฟ เป็นแต่เพียงคนชอบดื่มกาแฟ วิจารณ์ได้ในแบบของตัวเอง ก็จะบอกเลยว่ารสชาดกาแฟร้านนี้ยังไม่ลงตัว เราดื่มคาปูชิโน่ก็เหมือนดื่มนมร้อน แทบไม่รู้สึกถึงความหอมของกาแฟเลย เพื่อความแน่ใจเราก็ถามคุณสามีว่าเอกซเพรสโซ่ที่สั่งมาดื่มรสชาดใช้ได้ไหม ก็คำตอบแนวๆเดียวกันคือไม่เข้มข้นและกลิ่นก็ไม่ได้หอมหวนนัก สรุปคือ ยังต้องปรับปรุงค่ะ บรรยากาศได้ แต่ต้องปรับปรุงรสชาดค่ะ สนนราคา ถ้าจำไม่ผิด 2 แก้วอยู่ที่ 65 บาท ก็น่าจะเป็นเอกสฯ 30 บาท คาปู 35 บาท ค่ะ

อีกแก้วหนึ่ง เพิ่มดื่มเมื่อเช้านี้ ร้าน sip sip coffee อยู่ในปั้มปิโตรนาสข้างๆหมู่บ้านที่เราพักอยู่ เคยมีโอกาสไปนั่งดื่มครั้งหนึ่งแล้ว แต่จำรสชาดไม่ได้ คราวนี้ตั้งใจไปชิมกาแฟจริงๆ เลยสั่ง เอกสเพรสโซ่ มาจิบ หน้าตาเค้าก็ดูดีหรอกค่ะ แต่ลืมถ่ายรูป นึกออกได้ก็ตอนหมดแก้วไปแล้ว สำหรับร้านนี้ แก้วกาแฟไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อน พอทำกาแฟเสร็จเทลงแก้วไป ความร้อนของกาแฟก็เลยหายไปหมดเลย หรือไม่ก็น้ำที่ทำกาแฟไม่ค่อยร้อน เพราะตอนที่มาเสริฟ เราลองยกจิบก็เป็นอุณหภูมิที่ดื่มได้เลย พอใส่น้ำตาลและคน ความร้อนก็หายไปอีก ถึงเวลาดื่มจริงๆจังๆ ก็กลายเป็นกาแฟชืดไปเลย สาบานได้ว่าดื่มทันทีที่คนน้ำตาลเสร็จ ส่วนรสชาด หอมใช้ได้ เข้มยังไม่ได้ระดับที่เราชอบ เป็นประเภทกาแฟร้อนที่ดื่มตอนเที่ยงๆบ่ายๆได้นะ แต่ไม่เข้มพอสำหรับคนที่อยากตื่นตัวในตอนเช้าเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ดีกว่ากาแฟโกล์ดชงดื่มเองที่ห้องแหละ สนนราคา ก็ 30 บาท

สำหรับการระลืกความทรงจำกับแก้วกาแฟก็คงนึกได้แค่นี้แหละ วันหลังถ้าได้ไปชิมร้านอื่นๆจะมาบันทึกไว้เป็นอนุสรณ์ของตัวเองต่อไปจ้า

ด้วยว่าความต้องการส่วนตัวเราเองและคุณสามีอยากจะมีร้านกาแฟสดเป็นของตัวเอง แต่เนื่องด้วยความจำเป็นหลายๆอย่าง ตอนนี้จึงตกลงใจ เปิดร้านไว้ที่อุดรบ้านสามี เพราะมีทำเลที่คาดว่าจะทำเงินได้ และคนที่จะดูแลร้านให้ (ถึงแม้ว่าใจอยากจะอยู่ขายเองก็ตาม) แต่ร้านนี้ก็ยังไม่ใช่ร้านกาแฟสดแบบเต็มตัว เพราะที่ร้านเดิมเป็นร้านขายของชำ เราเพียงเพิ่มเคาน์เตอร์กาแฟสดเข้าไปเท่านั้นเป็นการทดลองตลาดก่อน แล้วจะขยับขยายหรือหดหายทีหลังก็ค่อยว่ากัน

การที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพใดๆก็ตามเราควรจะรู้จักมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะลงทุนลงแรง แค่เพียงความชอบดื่มกาแฟไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

ที่มา: จากเวบไซต์ bluekoff นะคะ

วันนี้เราเลยตัดสินใจเลือกคอร์สอบรมการชงกาแฟสดที่ Bluekoff เป็นคอร์ส 1 วันเต็ม สอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ราคาอยู่ที่ 1,300 บาท พอยอมรับได้ เราเลือกตรงที่หลักสูตรที่แสดงไว้ดูดี เวบไซต์สวย เจ้าหน้าที่ติดต่อนิสัยดี โดยรวมแล้วคาดว่าน่าจะพอได้อะไรๆกลับมาจากส่วนนี้บ้าง สำหรับเวบไซต์ที่ว่าก็คือ www.bluekoff.com

ช่วงเวลานี้ก็คงจะพยายามศึกษารสชาดกาแฟสดจากร้านต่างๆที่มีโอกาสได้ลิ้มลองไปพลางๆ หลังจากนี้จะได้เลือกกาแฟเข้าร้านได้ถูกรสและถูกราคา

ลงท้ายด้วย Merry X’mas ค่ะ

wanna cry…

วันนี้ตื่นมาเครียดต่อกับงานที่ทำแล้วมีแต่ทางตัน ทำไมเพิ่มมานั่งทำตอนนี้นะ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้ไง ขนาดเราเองยังดูออกเลยว่ามั่ว แล้วที่ปรึกษาเค้าก็ต้องดูออกสิเนอะ ทำไงดีล่ะ เหลือเวลาอีกครึ่งวันเองสำหรับปั่นผลงาน เครียดจนอยากร้องไห้ อยากไปให้พ้นจากจุดนี้จริงๆ กลั้นใจให้เวลานี้ผ่านไปเร็วๆละกัน ทำเป็นมึนๆไม่รู้สึกรู้สาไปเหรอ สับสนในตัวเองมากมาย สาธุ…ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถอะ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม…พิมพ์เยอะๆใจจะได้สบายขึ้น พร้อมกลับไปสู้งานใหม่ สู้แค่ตายค่ะ

อีกไม่กี่วันก็จะหมดปี 2553 กันแล้ว งานเก่าๆค้างๆเน่าๆ ต้องรีบสะสาง ก่อนจะเก็บกระเป๋า หิ้วโน้ตบุ้ค หอบงานไปนั่งทำที่บ้านเกิด เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แล้วค่อยกลับมาสู้ตายใน mid-term progress ต้นปีหน้า พร้อมทั้งงานที่ลงตารางรอแน่นเอี๊ยดอยู่…

เริ่มไม่อยากจะเชื่อว่าคนเรามีความสามารถทำงานได้ทีละหลายๆงานได้ขนาดนี้…เริ่มหยิ่งผยองในความสามารถที่มีในการจัดการกับงานทั้งปวงตอนนี้ได้ แต่อย่าถามเลยนะว่าทำไมงานถึงเยอะ ก็เพราะเรา took long vacation มาน่ะสิ กลับมาต่องานอีกทีท่วมหัวท่วมหาง แล้วยังจะมีหน้ากลับบ้านเหมือนชาวบ้านเค้าอีกนะ

คนเราเกิดมามันต้องสู้ แถมเกิดมาเป็นเด็กแม่โจ้ “งานหนัก ไม่เคยฆ่าคน” ท่องไว้ในใจ แล้วก้มหน้าทำงานต่อไป

สู้ตาย .V..

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!